การดูแลแผลในผู้ป่วยเบาหวาน
17 Feb, 2021 / By
salacrm01
การดูแลแผลในผู้ป่วยเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้มากในผู้สูงอายุ โดยมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มมากขึ้นทุกปีและเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคเบาหวานสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อวัยวะต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะการเกิดแผลบริเวณเท้า โดยแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวานมักจะหายช้ากว่าแผลของคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งสาเหตุของการที่แผลหายช้าเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
1. เส้นประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ทำให้ผู้ป่วยรับความรู้สึกเจ็บบริเวณเท้าได้ลดลง ผู้ป่วยจึงไม่ได้ดูแลแผลที่เท้าอย่างเหมาะสม กว่าจะรู้อีกทีอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนแล้ว
2. การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ อาจเกิดภาวะอุดตันของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่ดี ส่งผลให้แผลหายช้าเนื่องจากกระบวนสมานแผลเกิดขึ้นได้ไม่ดี
3. การติดเชื้อแทรกซ้อน โดยส่วนใหญ่แผลในผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดการติดเชื้อร่วมด้วย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบมากกว่าปกติ ส่งผลให้แผลหายช้า
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลผู้ป่วยเบาหวาน
1. เพศชายเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้ามากกว่าเพศหญิง
2. สูบบุหรี่
3. มีประวัติการตัดนิ้วหรือขา
4. มีภาวะเท้าผิดรูป หรือ หนังบริเวณเท้ามีลักษณะด้านแข็ง
5. มีประวัติเป็นแผลที่เท้ามาก่อนหรือมีประวัติมีแผลที่เท้าในช่วง 2-5 ปีที่ผ่านมา
6. มีภาวะจอประสาทตาผิดปกติ หรือมีภาวะไตวายเรื้อรัง
การดูแลแผลในผู้ป่วยเบาหวานด้วยตัวเอง
1. ลดแรงกดที่แผล โดยทั่วไปในผู้ป่วยเบาหวานมักมีกระดูกข้อเท้าที่ผิดรูป เนื่องจากมีภาวะปลายประสาทเสื่อม ทำให้กระดูกข้อเท้าที่ผิดรูป ไปกดทับเนื้อเยื่อบริเวณแผลทำให้แผลอักเสบและหายช้า ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงควรเลี่ยงการลงน้ำหนักที่เท้าหรืออาจเดินให้น้อยลงหรืออาจใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง เช่น ไม้เท้าช่วยประครองและช่วยลดการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้า ในช่วงระยะเวลาที่เป็นแผล
2. การลดความเสี่ยงการเกิดหลอดเลือดอุดตัน โดยทั่วไปผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะการไหลเวียนของเลือดไปบริเวณที่เป็นแผลค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด คือ เช่น การสูบบุหรี่ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในค่าปกติ เป็นต้น
3.การล้างแผล น้ำยาล้างแผลที่เหมาะสมในผู้ป่วยเบาหวานคือน้ำเกลือ เนื่องจากมีค่าความเข้มข้นของสารน้ำเท่ากับร่างกาย ดังนั้นการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือจึงลดการระคายเคืองบริเวณแผลได้เป็นอย่างดี
การป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
1. ควบคุมระดับน้ำตาในเลือดให้อยู่ในช่วงปกติ เนื่องจากหากควบคุมน้ำตาลไม่ได้ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน โดยค่าปกติของน้ำตาลในเลือดควรอยู่ในช่วง 80-130 mg/dL
2. ใช้น้ำสะอาดล้างเท้าทำความสะอาดทุกวันและเช็ดเท้าให้แห้งสนิท หากเช็ดไม่แห้งจะทำให้บริเวณซอกเท้าอับชื้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในคนไข้เบาหวาน โดยในการเช็ดทำความสะอาดห้ามใช้แอลกอฮอล์เช็ด เพราะจะทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
3. สำรวจเท้าทุกวันว่ามีแผลหรือรอยถลอกหรือไม่ โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ควรตรวจเท้าทุก 2-3 ชั่วโมง หากไม่สามารถมองเห็นได้ชัดสามารถให้ญาติหรือคนใกล้ชิดช่วยสำรวจการเกิดแผลบริเวณเท้าได้
4. ควรทาสารให้ความชุ่มชื้นที่ผิวหนังบริเวณเท้า เป็นประจำแต่ควรหลีกเลี่ยงการทาบริเวณซอกเท้า เนื่องจากจะทำให้เกิดความอับชื้น เพิ่มความเสี่ยงในการติดชื้อรา
5. ควรตัดเล็บทุกสัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเล็บขบ เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลติดเชื้อในผู้ป่วยเบาหวาน
6.หากมีผิวหนังที่บริเวณเท้าด้าน ควรปรึกษาแพทย์หรือใช้หินขัดเท้าไปในทิศเดียวกันอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้ผิวแตกเป็นแผลและไม่ควรซื้อยากดลอกตาปลามาใช้
เรียบเรียงโดย
ภญ.ศิริกาญจน์ สระแก้ว
เอกสารอ้างอิง
1. ผศ.พญ.สุภาพร โอภาสานนท์. แผลเบาหวาน (Diabetic Foot) และการดูแลเท้า[อินเทอร์เน็ต]. 2554 [เข้าถึงเมื่อ1 พ.ย. 2563]. เข้าถึงได้จาก : https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=915
2. ยุคลธร สุภิมารส. การดูแลแผลเบาหวานที่เท้า. วารสารสภาการพยาบาล 2549 : 11-3.
3. แผลเบาหวานที่เท้า ดูแลอย่างไรให้หายเร็ว และไม่ติดเชื้อ? (Diabetic Foot)[อินเทอร์เน็ต]. 25563 [เข้าถึงเมื่อ 1 พ.ย. 2563]. เข้าถึงได้จาก : http://www1.siphhospital.com/th/news/article/share/408
4. วอัจฉรา สุวรรณนาคินทร. คู่มือการดูแลเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 2557 : 2-11.
5. Diabetic Wound Care[internet]. 2020[cited 2020 NOV 01]. available from: https://www.apma.org/diabeticwoundcare#:~:text=What%20is%20a%20Diabetic%20Foot,or%20other%20ulcer%2Drelated%20complication.
6. International Diabetes Federation, IDF Diabetes Atlas, 8th edn. Brussels, Belgium: International Diabetes Federation, 2017, www.diabetesatlas.org.
7. Tan T, Shaw EJ, Siddiqui F, Kandaswamy P, Barry PW, Baker M. Inpatient management of diabetic foot problems: summary of NICE guidance, BMJ, 2011, vol. 342 pg. d128