ครีมกันแดด (Sunscreen)
ปัจจุบันมีครีมกันแดด (Sunscreen) ให้เลือกใช้มากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าครีมกันแดดแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักครีมกันแดดกันก่อนนะคะ ครีมกันแดด คือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดซึ่งใช้สำหรับทาผิวหนัง เพื่อปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet Radiation: UV) ครีมกันแดด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen)
2. ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)
3. ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen)
ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen) สารกันแดดในกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ป้องกันรังสี UV โดยการดูดซับรังสีไว้ไม่ให้สามารถทะลุผ่านเข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนัง
• ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือสามารถดูดกลืนรังสีไว้ได้ทั้งหมดทำให้ป้องกันรังสี UV ได้เป็นอย่างดี
• ข้อเสียคือสารกันแดดในกลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย และต้องทาครีมทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนออกแดดเพื่อให้สารออกฤทธิ์ทำงาน และต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ล้างทำความสะอาดยากกว่าครีมกันแดดชนิดกายภาพ ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ที่พบบ่อยจะเป็น 2-Ethylhexylmethoxycinnamate (Parsol MCX) Benzophenone-3 (Oxybenzone) และ Butylmethoxydibenzoylmethane (Avobenzone) เป็นต้น
ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen) สารกันแดดกลุ่มนี้จะเคลือบอยู่บนผิวหนังแล้วทำการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV จึงทำให้สามารถป้องกันรังสี UV ได้
• ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือ มีความปลอดภัยสูงกว่าและมีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อยกว่าครีมกันแดดชนิดเคมีเนื่องจากไม่ถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง อีกทั้งยังสามารถออกแดดได้ทันทีหลังทา โดยไม่ต้องทาซ้ำถ้าเนื้อครีมไม่หลุดจากผิว และยังล้างทำความสะอาดง่ายอีกด้วย
• ข้อเสียคือ สารกันแดดกลุ่มนี้จะมีขนาดอนุภาคใหญ่ เนื้อครีมมีความหนา ไม่โปร่งแสง เวลาทาลงบนผิวอาจทำให้แลดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการวอกได้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมของสารกลุ่มนี้มักนิยมใช้สารที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือที่รู้จักกันว่า micronized form เพื่อไม่ให้เกิดปื้นขาวและสามารถกระจายตัวบนผิวได้ง่าย การทำให้อยู่ในรูป micronized form ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ได้อีกด้วย ตัวอย่างของสารกลุ่มนี้ได้แก่ Zinc oxide และ Titanium dioxide
รูปที่ 1 ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical sunscreen) ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical sunscreen)
ครีมกันแดดชนิดผสม (Chemical-Physical sunscreen) สารกลุ่มนี้ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นสารกันแดดที่ทำหน้าที่ทั้งสะท้อนและดูดซับรังสียูวีได้ทั้งสองอย่างในตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมข้อดี และลดข้อด้อยของครีมกันแดดทั้งสองประเภทข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน ครีมกันแดดที่วางจำหน่ายส่วนมากจะเป็นชนิดนี้
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือ ยูวี (UV) รังสียูวีมี 3 ชนิด ได้แก่ รังสี UVA , UVB และ UVC
► UVA มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 320-400 นาโนเมตร สามารถทะลุทะลวงลึกเข้าสู่ชั้นไขมันของผิวหนัง กระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้สร้างเม็ดสี (melanin pigment) เพิ่มมากขึ้น ให้ผิวหนังแห้งจนก่อให้เกิดริ้วรอยหรือผิวเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทำให้เกิดฝ้า กระ ผิวหมองคล้ำ อีกทั้งยังก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย
► UVB มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 290-320 นาโนเมตร รังสีนี้จะทำลายผิวแค่ผิวหนังชั้นนอก หรือผิวหนังกำพร้าเท่านั้น อันตรายน้อยกว่า UVA ทำให้ผิวไหม้แดด (Sunburn) ทำให้ผิวหนังหมองคล้ำ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดริ้วรอย และปัญหาฝ้า กระตามมาด้วย
► UVC มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 220-290 นาโนเมตร เป็นพลังงานความยาวคลื่นที่ถูกชั้นโอโซนทำลาย ซึ่งช่วงคลื่นเหล่านี้มีระดับพลังงานสูง หากผ่านมาถึงผิวโลกจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์มาก ปัจจุบันชั้นโอโซนถูกทำลายลงไปมากทำให้อัตราการแผ่รังสี UVC ลงมาถึงผิวโลกมากขึ้น
แสงแดดที่มาถึงพื้นโลกจะมีคลื่นแสงยาวกว่า 290 นาโนเมตร ดังนั้น UVC มักมาไม่ถึงผิวโลก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปกป้องผิวจาก UVA และ UVB7
ประสิทธิภาพสารกันแดด SPF และ PFA ต่างกันอย่างไร ?
► SPF ย่อมาจากคำว่า Sun Protection Factor เป็นค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB หรือค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง ซึ่งจะบอกค่าเป็นจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวคนเราสามารถทนต่อแสงได้ระหว่างผิวหนังที่ทาครีมกันแดดกับผิวหนังที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด โดยค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย แต่ค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV-B ได้ไม่แตกต่างกัน
► PFA หรือ Protection Factor of UVA คือ ค่าที่แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีเอ และค่า PA หรือ Protection Grade of UVA คือ ค่าที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางแห่งประเทศญี่ปุ่นได้กำหนดขึ้นแทนการใช้ค่า PFA โดยฉลากเครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดจะต้องแสดง โดยค่า PFA และ ค่า PA จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ แบ่งออกเป็น
ระดับของประสิทธิภาพ
|
ค่า PFA
|
การแสดงค่า PA
|
ต่ำ
|
ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 (2-4)
|
PA+
|
กลาง
|
ตั้งแต่ 4 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 8 (4-8)
|
PA++
|
สูง
|
ตั้งแต่ 8 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 16 (8-16)
|
PA+++
|
สูงมาก
|
ตั้งแต่ 16 ขึ้นไป (≥16)
|
PA++++
|
รูปที่ 2 รังสี UVA , UVB ในการทำลายเซลล์ผิวหนัง
ผลิตภัณฑ์กันแดดบางชนิด ระบุคุณลักษณะพิเศษในการกันน้ำ (water resistance) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ Water resistance product คือ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถคงสภาพ SPF ได้ตามที่กำหนด หลังจากแช่น้ำนาน 40 นาที และ Very water resistance product คือ ผลิตภัณฑ์ที่ยังคงสามารถคงสภาพ SPF ได้ตามที่กำหนด หลังจากแช่น้ำนาน 80 นาที
ควรเลือกครีมกันแดดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม (Broad-Spectrum) ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านั้น และสามารถกันน้ำได้ (Water Resistant) และอย่าลืมเติมครีมกันแดดระหว่างวันหากมีความจำเป็นต้องสัมผัสแสงแดดต่อเนื่องนานๆ อีกทั้งการทำความสะอาดผิวหลังจากทากันแดดมาทั้งวันก็สำคัญเช่นกัน
เรียบเรียงโดย
ภญ.จุฑานุช สุรพงษ์ประชา
เอกสารอ้างอิง
1.ชุติมณฑน์ อุดมเกียรติกูล. ผลิตภัณฑ์กันแดดปกป้องผิวอย่างไร?. [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=38
2.ธิตินันท์ กาพย์เกิด. ความรู้เกี่ยวกับสารกันแดด (ตอนที่ 2). [อินเทอร์เน็ต]. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=4&ID=22
3.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย. ครีมกันแดด. [อินเทอร์เน็ต]. ม.ป.ป. [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://anti-aging.mfu.ac.th//admin/uploadCMS/research/pfWed125811.pdf
4.Orogold ingredients. The definitive guide to physical and chemical sunscreens. [Internet]. 2013 [cited 2020 Oct 10]. Available from: https://orogoldingredientsbr.com/definitive-guide-to.../
5.เว็บไซต์เมดไทย (Medthai). ครีมกันแดด : รอบรู้เรื่อง "ครีมกันแดด" อย่างครบสูตร !. [อินเทอร์เน็ต]. 2557 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก:https://medthai.com/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1.../
6.British Association of Dermatologists. Sunscreen and sun safety factsheet [Internet]. 2013 [cited 2020 Oct 10]. Available from: https://www.bad.org.uk/.../skin-cancer/sunscreen-fact-sheet
7.โรงพยาบาลสุขุมวิท. อันตรายที่คาดไม่ถึงของแสงแดด. [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.sukumvithospital.com/healthcontent.php?id=3223
8.โรงพยาบาลผิวหนัง อโศก. เจาะลึก แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลต. [อินเทอร์เน็ต]. 2559 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.skinhospital.co.th/article/info/5/90
9.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. UV กันได้...ด้วยครีมกันแดด. [อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://www.bumrungrad.com/.../december-2019/sun-screen
10.Ami Green. SPF และ PA ในครีมกันแดด คืออะไร. [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 10 ต.ค. 2563]. https://www.trueplookpanya.com/.../75152/-blo-scihea-sci-